!อัจฉริยะ จอมแฉ เบอร์ต้นๆของเมืองไทย ขอแฉถึงปี 68 หยุดแฉ ช่วยสังคม ให้เห็นพฤติกรรม นักการเมือง ข้าราชการ นักบุญ ทุนชาวบ้าน พวกสร้างภาพ คนดี อยากหยุดเพื่อให้เวลาครอบครัว ประชาชนทั้งประเทศ หูตาสว่างบ้าง ถ้าประชาชนนิ่งเฉย เท่ากับทำให้คนชั่วได้ใจ
สำนักงานข่าวSTNEWSรายงานวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ณ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวกับสื่อมวลชนว่า วันนี้มาประชุมกับพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. เรื่องพาผู้ที่เกี่ยวข้องที่รู้เห็นมีคนแอบอ้างเป็นตำรวจกองบังคับการปราบปรามไปเรียกเงินนายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือโค้ชแล็ป จำนวน 9 ล้านบาทมาพูดคุยพร้อมแจ้งรายละเอียดกับตำรวจ เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องไปสืบสวนต่อว่าเป็นตำรวจจริงหรือตำรวจปลอม
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ตัวเองได้เข้าไปในเรือนจำขอชี้แจงว่าได้เข้าไปโดยชอบด้วยกฎหมายมีหนังสือถูกต้องถึงผู้บัญชาการเรือนจำเกี่ยวกับกรณีที่โค้ชแล็ปมีการกล่าวอ้างว่าตำรวจเรียกเงิน 9 ล้านบาท ซึ่งวันนี้ได้พาพยานที่แจ้งเบาะแสมาพบพล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อให้ตำรวจได้ตรวจสอบว่าบุคคลใดที่ไปแอบอ้าง ทั้งนี้เชื่อว่าไม่มีตำรวจกองบังคับการปราบปรามไปเรียกรับเงินเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีใหญ่ คงไม่มีตำรวจรายใดกล้าไปทำแบบนี้ ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นมิจฉาชีพที่รับสมอ้างว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีได้และเข้าไปหลอกลวงผู้ต้องหา ส่วนที่ตัวเองเข้าไปเรือนจำในวันนั้นเข้าไปด้วยเจตนาสุจริตเนื่องจากหากเข้าไปเองก็สามารถเข้าไปได้ผ่านทางภรรยาของโค้ชแล็ป แต่อยากให้มีตำรวจเข้าไปร่วมรับฟังจากปากของโค้ปแล็ปเอง ในวันนั้นได้พาคนที่มาร้องไปด้วย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าได้ทำไปโดยสุจริต นอกจากนี้ได้พาคนร้องเรียนไปพบจเรตำรวจเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเห็นทนายบอสพอลออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเรียกเงินจริง ก็เชื่อมั่นว่าไม่น่าจะใช่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม เพราะการเรียกรับเงินไม่ได้เรียกรับกับโค้ชแล็ปโดยตรงแต่ผ่านมากับคนสนิทของโค้ชแล็ป ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ส่วนกรณีที่ได้ฟ้องสำนักข่าวและนักข่าวที่นำเสนอข่าวนี้ไปนั้น นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เป็นเพราะการลงข่าวทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสียหายรวมทั้งส่งผลกระทบต่อลูกสาว ซึ่งความจริงแล้วไม่อยากจะฟ้องนักข่าวคนไหนเลย เพียงแต่ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกนำเสนอไปนั้น ส่งผลกระทบต่อตัวเองอย่างมากและทำให้สังคมรุมประนามตนเอง จึงอยากจะชี้แจงผ่านสื่อมวลชนว่า หากมีข้อสงสัยขอให้โทรมาสอบถามได้
ยินดีจะให้ข่าวทุกกรณีและวิงวอนว่า ขอให้ประเด็นนี้ยุติการนำเสนอได้แล้ว
ส่วนกรณีของทนายคนดังที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ได้มีคนโทรศัพท์มาสอบถามกับตัวเองเยอะ ทั้งนี้หากอยากจะถามอะไรให้ถามมา เพราะได้พูดคุยกับทนายคนดังแล้วได้รับการอนุญาตเรียบร้อยแล้ว
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า เรื่องของทนายคนดังที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 เป็นเรื่องจริง ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อณัฐวุฒิ คดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 4 คน เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกตำรวจซึ่งเป็นเยาวชน มีการออกหมายจับทั้งหมด 4 คน โดย 3 คนแรกได้ถูกจับกุมขึ้นศาล ศาลยกฟ้อง ต่อมาทนายคนดังได้ไปมอบตัวอัยการสั่งไม่ฟ้องและคดีถึงที่สุด เท่ากับว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ต่อมามีพ.ร.บ.ล้างมลทิน ก็มีการลบประวัตินี้ออกไป จากนั้นในปี 2547 ก็ได้ตั๋วทนายความ
ส่วนกรณีที่มีการจับมือกับทนายคนดังเป็นการจับมือเพื่อยุติคดีระหว่างตัวเองกับทนายคนดังกล่าว ไม่ได้มีการตกลงว่าจะมีการช่วยเหลืออะไรกันต่อไป เพราะบอกเสมอว่าไม่ว่าใครทำอะไร ทุกคนต้องรับสภาพกรรมที่ตัวเองก่อไว้ ซึ่งเรื่องคดีของทนายคนดังกล่าวก็ต้องว่ากันไปตัวเองจะไม่ซ้ำเติมเขา หากถามว่าตัวเองรู้หรือไม่ว่ามีการเรียกเงินจากเจ๊อ้อยขอบอกว่าทราบมานานแล้ว และไม่ใช่มีเรื่องนี้เรื่องเดียวยังมีอีกหลายเรื่องที่ได้มีการต่อสู้กับทนายคนนี้มานาน 6 ปี
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า หากดูเอกสารฉบับนี้ในปี 2561 ได้เคยยื่นไปกรณีที่ได้ใช้ชื่อ ณัฐวุฒิ ยืนยันว่าได้ทำมาตั้งแต่แรก ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นคนทำให้ทนายคนดังถูกออกหมายจับ 2 หมาย โดยได้แจ้งความไว้ 3 คดี คดีแรกเกี่ยวกับกรณีพ.ร.บ.ยาเสพติดที่ร่วมกับตำรวจในการทุจริตโดยอ้างว่าสามารถช่วยเหลือผู้ต้องหาในคดียาเสพติดได้ อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว คดีที่2 ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 อัยการสั่งไม่ฟ้องอีกเช่นกัน ยังเหลืออีก
คดีที่ได้ร่วมมือกับตำรวจ สภ.แห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาครเรียกรับผลประโยชน์ในคดียาเสพติด ซึ่งคดีนี้ยังค้างอยู่ที่อัยการทุจริตภาค 7 มานานถึง 4 ปี จึงอยากให้อัยการเร่งสรุปคดีโดยเร็วว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง เพราะไม่งั้นจะถือเป็นการกระทำที่ทุจริต
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ที่ออกมาพูดประเด็นดังกล่าว เป็นเพราะมีสื่อมวลชนมาสอบถาม ทนายคนนี้ก็อนุญาตให้ตัวเองพูดได้ เนื่องจากรู้เกี่ยวกับทนายคนนี้เป็นอย่างดีในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวข้องกับคดีที่ทนายคนดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินลูกความ 71 ล้านบาทหรือ 2 ล้านยูโร รวมทั้งประเด็นเรื่องรถและเงิน 39 ล้านบาท ก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่มองว่าเป็นเรื่องของคดีความ จึงไม่ขอพูดถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อเป็นการซ้ำเติมเหมือนบุคคลอื่น เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่มีคุณธรรม
นายอัจฉริยะ ยังกล่างอีกว่า ไม่ได้ทักหรือไม่ได้เกลียดกับทนายคนดังกล่าว การที่จับมือกันในวันนั้นเป็นเพียงการยุติคดีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้มีเรื่องฟ้องร้องกันอีก แต่วันนี้เป็นวันที่รอคอย เพราะในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตัวเองถูกโจมตีและกล่าวหามาโดยตลอด ในวันนี้เมื่อถึงคราวของทนายคนนี้บ้าง ก็มองว่าใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับสภาพกรรมนั้นและความจริงก็คือความจริง เน้นย้ำว่าที่ออกมาพูดไม่ใช่เป็นการแฉทนายคนนี้ แต่เป็นการพูดตามที่สื่อมวลชนต้องการอยากรู้และทนายซึ่งเป็นผู้รู้กฎหมายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง รวมทั้งต้องยอมรับความเป็นจริง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า สิ่งที่ทนายคนดังกล่าวพูดในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องเงิน 71 ล้านบาทนั้นเป็นการเตี๊ยมกับพิธีกร ซึ่งตอนที่ได้ยินก็ได้แค่ยิ้มในใจ โดยหลังจากนี้เชื่อว่า ทนายคนนี้น่าจะโดนออกหมายจับในระยะเวลาอันใกล้ ในคดีเกี่ยวกับฉ้อโกง ซึ่งส่วนตัวได้พูด ให้กำลังใจทนายคนนั้นเพียงแค่ว่า อาจจะได้เข้าไปอยู่กับบอสพอลในเรือนจำ ส่วนที่เหลือทนายคนนั้นจะจัดการอย่างไรต่อโดยเฉพาะเรื่องทางกฎหมาย เชื่อว่าเขาน่าจะรู้ตัวเอง แต่ส่วนตัวขอตั้งประเด็นทิ้งท้ายเอาไว้ว่าที่ผ่านมาทนายคนนั้นต่อสู้รบกับนักการเมืองหลายๆ คน รวมทั้งอดีตนายตำรวจระดับสูงไปเพื่ออะไร เพราะทราบดีว่า ทนายคนนั้นรับงานใครมาเพื่อโจมตีบรรดานักการเมืองและอดีตนายตำรวจ จึงอยากจะฝากเตือนว่า หากคิดจะเล่นงานใครต้องขาวบริสุทธิ์จริงๆ เพราะมิเช่นนั้น ดาบนั้นจะคืนสนอง
ข่าว-ทองหม่อน พลพงษ์ นสพ.STNEWS